ที่ตั้งของวัดเป็นภูเขาสูงเพียงลูกเดียวที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเดี่ยวเป็นเอกเทศจากภูเขาลูกอื่นๆ
ที่มีทุ่งนาล้อมรอบ ภายในภูเขาแห่งนี้ มีต้นไม้นานาพันธุ์เบียดเสียดกันอยู่
อีกทั้งมีสัตว์ป่ามาอาศัยอยู่มากมาย
หมู่มวลดอกไม้ป่าขึ้นกันเต็มไหล่ทางส่งกลิ่นจรุงใจยามได้เข้าใกล้
นอกจากนั้นยังมีซะง่อนหินและหน้าผาที่เป็นจุดชมวิวธรรมชาติที่สูงที่สุด
ซึ่งสามารถมองเห็นความสวยงามได้รอบทิศ อีกทั้งมีถ้ำใหญ่น้อยกระจายอยู่โดยรอบเขา
แต่จะมีอยู่ถ้ำหนึ่งซึ่งใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลางเขา
และเป็นที่นั่งปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ผู้เจริญในธรรมหลายรูปด้วยกันที่ได้สำเร็จอรหันต์
ณ ดินแดนแห่งนี้มามากแล้ว นับจากอดีต
ความเป็นมาของเขาภูคา
ต่อมาภายหลัง
ได้มีประชาชนอพยพเข้ามาปลูกบ้านเรือนอาศัยอยู่ตามชายเขาโดยรอบประมาณ ๓๐
หลังคาเรือน และเมื่อ ยามค่ำคืนมาถึง
ชาวบ้านที่อยู่ตามเชิงเขานั้นได้เจอะเจอกับแสงประหลาด
ที่สว่างเจิดจรัสเกิดขึ้นที่ยอดเขาภูคาทางทิศพายัพอยู่หลายครั้งหลายหน
บางครั้งพวกเขาเห็นเป็นรัศมีเปล่งออกมาสว่างไสวเป็นรูปปราสาท
จึงต้องเอาเรื่องนี้ไปถามกับพระเถระนักวิปัสสนาที่จาริกมาจากสุพรรณบุรีเพื่อปฏิบัติธรรมอยู่ในถ้ำบนภูเขาได้รับคำตอบว่า.....
“อาจเป็นหลักฐานของผู้ที่มีบุญทิ้งไว้
จึงได้แสดงอภินิหารให้เห็น”
หลายครั้งที่ชาวบ้านพากันไปเสาะแสวงหาที่มาของแสงสว่าง
แต่ก็ไม่พบอะไรเลย
ขณะเดียวกันนั้นชาวบ้านก็ยังเห็นรัศมีสว่างในวงกว้างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในยามค้ำคืนอยู่เสมอมา
กระทั่งต่อมาได้มีพระร่วมกับชาวบ้านขึ้นไปค้นหาจุดที่ชาวบ้านเห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เจอ
ต่างคนก็ต่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรง จึงนั่งพัก และในระหว่างพักนั้นเอง
ได้มองไปทางด้านหินก้อนใหญ่ใกล้หน้าผา
ซึ่งถูกปกคลุมด้วยกอไผ่รวกขึ้นอยู่กลางก้อนหินและดินเต็มไปหมด
มองดูแล้วผิดปกติกว่าที่อื่น เพราะ ลักษณะเป็นรูปยาวคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า
พระท่านจึงบอกให้โยมชาวบ้านเหล่านั้นลองขุดคุ้ยดินและรื้อถอนไผ่ออกดู ผลปรากฏว่า
เมื่อรื้อถอนกอไผ่และคุ้ยดินออก เห็นมีรอยเท้าบุ๋มลึกลงไปในก้อนหินก้อนใหญ่
และมีรอยนิ้วเท้าอยู่ ๕ นิ้ว
ปรากฏเด่นชัดเมื่อข่าวการค้นพบรอยพระพุทธบาทนี้แพร่กระจายออกไป
มีผู้คนให้ความสนใจพากันเดินทางมาดูและพิสูจน์ว่าเป็นของจริงหรือไม่
แล้วทุกคนที่ได้มาพบเห็นต่างก็ลงความเห็นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทจริงตามตำราที่บันทึกเอาไว้
และพระพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า....
ดังนั้น คณะที่ค้นพบจึงได้ติดต่อราชกาลขอตั้งสำนักสงฆ์ชื่อว่า
“เขาโภคา” ญาติโยมกับพระภิกษุได้ช่วยกันสร้างวัด
และได้ จัดสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่บนไหล่เขานี้ด้วย
มีพระภิกษุที่นำชาวบ้านขึ้นค้นพระพุทธบาทเป็นเจ้าอาวาส คือ “พระครูพลอย
เตชพโล” ปกครองดูแลต่อจากนั้นมา
และแล้วเขาแห่งนี้ก็ได้ถูกเรียกจาก”เขาโภคา”เพี้ยนไปตามภาษาถิ่นว่า “เขาภูคา” มาจนถึงทุกวันนี้
ในปัจจุบันบนยอดเขาภูคาเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเกศแก้วจุฬามณี
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะแปลกออกไปจากพระพุทธรูปองค์อื่นๆที่เคยเห็นกันโดยทั่วไป
กล่าวคือ พระเกศแก้วจุฬามณีองค์นี้เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นจากช่วงไหล่ไปถึงเศียร
เท่านั้น แต่สร้างใหญ่มากจนสามารถมองจากระยะไกลเห็นองค์พระ
ได้อย่างเด่นชัดท่ามกลางกลุ่มเมฆไม้บนภูเขาสูง โดยปฐมเหตุแห่งการสร้างพระพุทธรูปเกศแก้วจุฬามณีนั้น
เป็นไปตามประสงค์ของหลวงปู่สงฆ์และหลวงปู่บุดดา ซึ่งเป็นพระอริยะ
ให้จัดสร้างตามนิมิตให้มีพระประดิษฐานเอาไว้ ณ ภูเขาลูกนี้ที่บนยอดเขาสูง
เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ ทัศนานุตตริยะ ปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธ์
ได้เป็นที่เคารพสักการะ แก่พระพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ด้านหลังของพระพุทธรูปจุฬามณีนี้เป็น รูปปั้นของพญาช้างปาลิเลยยะกะ ซึ่ง
ยืนอยู่ตระหง่านอยู่ข้างทางที่จะเดินขึ้นสู่มณฑปทางโดมแบบอินเดียสีสวยสด
ยอดแหลมเสียดขึ้นสูงสู่ท้องฟ้าสีครามตัดกับสีของก้อนเมฆและผืนฟ้า
เป็นสง่าชวนมองท่ามกลางความพิศวงแห่งแรงดึงดูดต่อผู้ที่พบเห็นและต้องได้ก้าวไปสู่ภายในมณฑปอันเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทอันศักดิ์สิทธิ์นั่งเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น