วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ที่นี่...วัดเขาภูคา





ที่ตั้งของวัดเป็นภูเขาสูงเพียงลูกเดียวที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเดี่ยวเป็นเอกเทศจากภูเขาลูกอื่นๆ ที่มีทุ่งนาล้อมรอบ ภายในภูเขาแห่งนี้ มีต้นไม้นานาพันธุ์เบียดเสียดกันอยู่ อีกทั้งมีสัตว์ป่ามาอาศัยอยู่มากมาย หมู่มวลดอกไม้ป่าขึ้นกันเต็มไหล่ทางส่งกลิ่นจรุงใจยามได้เข้าใกล้ นอกจากนั้นยังมีซะง่อนหินและหน้าผาที่เป็นจุดชมวิวธรรมชาติที่สูงที่สุด ซึ่งสามารถมองเห็นความสวยงามได้รอบทิศ อีกทั้งมีถ้ำใหญ่น้อยกระจายอยู่โดยรอบเขา แต่จะมีอยู่ถ้ำหนึ่งซึ่งใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลางเขา และเป็นที่นั่งปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ผู้เจริญในธรรมหลายรูปด้วยกันที่ได้สำเร็จอรหันต์ ณ ดินแดนแห่งนี้มามากแล้ว นับจากอดีต 

ความเป็นมาของเขาภูคา
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงโปรดให้สร้างทางรถไฟสาย กรุงเทพ – นครสวรรค์ ซึ่งอยู่ห่างจาก เขาลูกนี้ประมาน ๘๐๐ เมตร ระหว่างนั้น นายช่างซึ่งมาสร้างทางรถไฟเห็นว่ามีภูเขาอยู่ใกล้ๆ ก็คิดที่จะระเบิดหินเพื่อนำมาทำทางรถไฟ ครั้นเมื่อลงมือทำตามที่คิดไว้ก็ไม่สามารถกระทำได้เลย แม้ว่าจะระเบิดสักกี่ครั้งก็ได้ยินเพียงที่ระเบิดดังกึกก้อง แต่ไม่มีหินกระเด็นออกมาให้เห็นแม้แต่สะเก็ดเดียว ไม่ว่าจะพยายามผลัดเปลี่ยนกันเพียงใดก็ไม่อาจจะทำได้สำเร็จ ความนี้จึงทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์ทรงเห็นเป็นเรื่องแปลก จึงสั่งให้ยุติการทำลายภูเขาลูกนี้ พร้อมทั้งได้พระราชทานนามว่า เขาโภคามีความหมายว่า ภูเขาอันเป็นโภคสมบัติของแผ่นดินที่สุดช่างที่ก่อสร้างทางรถไฟต้องหันมาใช้หินจากภูเขาลูกอื่นที่อยู่ไกลจากที่สร้างแทน การขนส่งจึงลำบากและสิ้นเปลืองงบประมาณอย่างยิ่งแต่ก็ต้องยอมรับสภาพนั้นโดยดี
ต่อมาภายหลัง ได้มีประชาชนอพยพเข้ามาปลูกบ้านเรือนอาศัยอยู่ตามชายเขาโดยรอบประมาณ ๓๐ หลังคาเรือน และเมื่อ ยามค่ำคืนมาถึง ชาวบ้านที่อยู่ตามเชิงเขานั้นได้เจอะเจอกับแสงประหลาด ที่สว่างเจิดจรัสเกิดขึ้นที่ยอดเขาภูคาทางทิศพายัพอยู่หลายครั้งหลายหน บางครั้งพวกเขาเห็นเป็นรัศมีเปล่งออกมาสว่างไสวเป็นรูปปราสาท จึงต้องเอาเรื่องนี้ไปถามกับพระเถระนักวิปัสสนาที่จาริกมาจากสุพรรณบุรีเพื่อปฏิบัติธรรมอยู่ในถ้ำบนภูเขาได้รับคำตอบว่า.....
อาจเป็นหลักฐานของผู้ที่มีบุญทิ้งไว้ จึงได้แสดงอภินิหารให้เห็น
หลายครั้งที่ชาวบ้านพากันไปเสาะแสวงหาที่มาของแสงสว่าง แต่ก็ไม่พบอะไรเลย ขณะเดียวกันนั้นชาวบ้านก็ยังเห็นรัศมีสว่างในวงกว้างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในยามค้ำคืนอยู่เสมอมา  กระทั่งต่อมาได้มีพระร่วมกับชาวบ้านขึ้นไปค้นหาจุดที่ชาวบ้านเห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เจอ ต่างคนก็ต่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรง จึงนั่งพัก และในระหว่างพักนั้นเอง ได้มองไปทางด้านหินก้อนใหญ่ใกล้หน้าผา ซึ่งถูกปกคลุมด้วยกอไผ่รวกขึ้นอยู่กลางก้อนหินและดินเต็มไปหมด มองดูแล้วผิดปกติกว่าที่อื่น เพราะ ลักษณะเป็นรูปยาวคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า พระท่านจึงบอกให้โยมชาวบ้านเหล่านั้นลองขุดคุ้ยดินและรื้อถอนไผ่ออกดู ผลปรากฏว่า เมื่อรื้อถอนกอไผ่และคุ้ยดินออก เห็นมีรอยเท้าบุ๋มลึกลงไปในก้อนหินก้อนใหญ่ และมีรอยนิ้วเท้าอยู่ ๕ นิ้ว ปรากฏเด่นชัดเมื่อข่าวการค้นพบรอยพระพุทธบาทนี้แพร่กระจายออกไป มีผู้คนให้ความสนใจพากันเดินทางมาดูและพิสูจน์ว่าเป็นของจริงหรือไม่ แล้วทุกคนที่ได้มาพบเห็นต่างก็ลงความเห็นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทจริงตามตำราที่บันทึกเอาไว้ และพระพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า....
อันรอยพระบาทขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น  ทรงเหยียบที่ใดแม้โรยฝุ่นขาวก็จะไม่มีรอยปรากฏให้เห็น แต่ถ้า ประสงค์จะให้ปรากฏรอย แม้หินผาหรือแผ่นเหล็กก็อธิฐานให้ปรากฏได้ใหญ่ เล็ก ตามปรารถนา
ดังนั้น คณะที่ค้นพบจึงได้ติดต่อราชกาลขอตั้งสำนักสงฆ์ชื่อว่า เขาโภคาญาติโยมกับพระภิกษุได้ช่วยกันสร้างวัด และได้ จัดสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่บนไหล่เขานี้ด้วย มีพระภิกษุที่นำชาวบ้านขึ้นค้นพระพุทธบาทเป็นเจ้าอาวาส คือ พระครูพลอย เตชพโลปกครองดูแลต่อจากนั้นมา และแล้วเขาแห่งนี้ก็ได้ถูกเรียกจากเขาโภคาเพี้ยนไปตามภาษาถิ่นว่า เขาภูคา มาจนถึงทุกวันนี้
ในปัจจุบันบนยอดเขาภูคาเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเกศแก้วจุฬามณี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะแปลกออกไปจากพระพุทธรูปองค์อื่นๆที่เคยเห็นกันโดยทั่วไป กล่าวคือ พระเกศแก้วจุฬามณีองค์นี้เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นจากช่วงไหล่ไปถึงเศียร เท่านั้น แต่สร้างใหญ่มากจนสามารถมองจากระยะไกลเห็นองค์พระ ได้อย่างเด่นชัดท่ามกลางกลุ่มเมฆไม้บนภูเขาสูง โดยปฐมเหตุแห่งการสร้างพระพุทธรูปเกศแก้วจุฬามณีนั้น เป็นไปตามประสงค์ของหลวงปู่สงฆ์และหลวงปู่บุดดา ซึ่งเป็นพระอริยะ ให้จัดสร้างตามนิมิตให้มีพระประดิษฐานเอาไว้ ณ ภูเขาลูกนี้ที่บนยอดเขาสูง เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ ทัศนานุตตริยะ ปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธ์ ได้เป็นที่เคารพสักการะ แก่พระพุทธศาสนิกชนทั่วไป ด้านหลังของพระพุทธรูปจุฬามณีนี้เป็น รูปปั้นของพญาช้างปาลิเลยยะกะ ซึ่ง ยืนอยู่ตระหง่านอยู่ข้างทางที่จะเดินขึ้นสู่มณฑปทางโดมแบบอินเดียสีสวยสด ยอดแหลมเสียดขึ้นสูงสู่ท้องฟ้าสีครามตัดกับสีของก้อนเมฆและผืนฟ้า เป็นสง่าชวนมองท่ามกลางความพิศวงแห่งแรงดึงดูดต่อผู้ที่พบเห็นและต้องได้ก้าวไปสู่ภายในมณฑปอันเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทอันศักดิ์สิทธิ์นั่งเอง
ณ จุดสูงสุดของภูเขาลูกนี้สามารถมองดูทิวทัศน์โดยรอบได้อย่างสวยงามเห็นทุ่งกว้างและหมู่บ้านโดยรอบเชิงเขาภูคา เป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบของแมกไม้ธรรมชาติอย่างแท้จริง ท่ามกลางสายลมอ่อนๆ ที่โชยผ่านหอบเอากลิ่นหอมเย็นของหมู่มวลบุปผาชาติไทยๆ อย่าง ลั่นทม, กรรณิกา, พิกุล, สารภี, ราชาวดี, มะลิ ฯลฯ ที่อบอวนกลิ่นกรุ่นไปทั่วภูเขาทั้งลูก พร้อมสรรพเสียงร้องของนกน้อยใหญ่ในยามกลางวัน สลับกับเสียงหรีดหริ่งเรไรในยามราตรีกาล ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกและเยือกเย็นแบบสบาย ดับความว้าวุ่นและความร้อนที่มีอยู่ภายในเรือนกายเรือนใจของผู้ที่เข้าไปสัมผัสให้เหือดหายไปได้อย่างประหลาดล้ำ ไม่เพียงแต่นักบวชหรือผู้ถือศีลเท่านั้นที่ก้าวเข้ามาสู่ดินแดนแห่งธรรมมะนี้ได้ แต่สำหรับบุคคลทั่วไปแล้วก็สามารถที่จะก้าวเท้าเข้ามาหาความจริงได้ด้วยตัวเอง สรรพสิ่งต่างๆ ภายในภูเขาภูคาแห่งนี้ยังเปิดกว้างอ้าแขนรอรับทุกท่านไปสัมผัสทุกเวลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น